สวัสดีค่ะ เราชื่อหมวยนะคะ
เราอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ (IR) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปัจจุบัน กำลังศึกษาอยู่ที่ Ludwig Maximilians Universität (LMU) ที่ Munich ประเทศเยอรมนีค่ะ
โดยเราได้รับทุนการศึกษาจากโครงการ Erasmus+ มาแลกเปลี่ยนที่ LMU เป็นเวลา 1 ปีค่ะ ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมาอยู่ที่ประเทศเยอรมนี แต่ว่าหลักสูตรที่เรามาแลกเปลี่ยนเป็นหลักสูตร ภาษาอังกฤษค่ะ ก็คือเรียนเป็นภาษาอังกฤษ และใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพราะจะได้รู้จักเพื่อนๆต่างชาติที่มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกัน โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ค่ะ แต่ทั้งนี้เราก็กำลังพยายามเรียนและฝึกฝนภาษาเยอรมันไปด้วยเช่นกันค่ะ
ขอเท้าความก่อนนะคะ จริงๆแล้วสมัยมอปลาย เรียนสายวิทย์ฯมาค่ะ แล้วก็เป็นคนที่เรียนวิชาคำนวณได้ดี ทั้งคณิตและฟิสิกส์ค่ะ คือจริงๆตอนนั้นค่อนข้างเกลียดภาษาอังกฤษมาก รู้สึกว่าไม่ชอบเลย มันจำๆๆๆอย่างเดียว เรียนอะไรเยอะแยะแกรมมงแกรมม่า ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ออก แปลไม่ได้ค่ะ คือไม่เคยได้ภาษาอังกฤษเกรด 4 เลยนะคะ ได้แบบ 2, 2.5 เกรด 3 นี่คือหรูแล้วค่ะ อย่างคะแนนภาษาอังกฤษ ONET ตอนม.6 รู้สึกจะได้ประมาณ 40 กว่าๆเองค่ะ แต่ !!!!!!! เหมือนเกลียดอย่างไหนจะได้อย่างนั้นเลยค่ะ โชคชะตานำพาให้ได้มาเรียน รัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ธรรมศาสตร์ (ขออนุญาตไม่เล่าเหตุผลถึงการเปลี่ยนสายจากวิทย์มาศิลป์นะคะ เกรงจะยาวเกินไปและหลุดประเด็นค่ะ) เราติด IR เพราะ เราได้คะแนน PAT1 (คณิตศาสตร์) เยอะค่ะ
คือมันจะอึดอัดมากค่ะ เวลาที่บอกว่า เราเรียน IR ทุกคนจะคาดหวังเลยว่า เราต้องเก่งอังกฤษ นั่นคือคนส่วนใหญ่ในคณะที่ไม่ใช่เราค่ะ 5555555 เราโง่ภาษาอังกฤษมากๆ ตอนมอ6 เราเพิ่งเข้าใจว่าอะไรคือ adj ค่ะจริงๆ แน่นอนว่าทันทีที่เรามาอยู่ที่คณะนี้ เราพบว่าเพื่อนๆในคณะเราเก่งอังกฤษกันค่ะ ไปแลกเปลี่ยนกันมาเยอะมาก AFS เอยอะไรเอย จนเรารู้สึกแบบ (แย่แล้วกุ) คือแย่จริงๆนะคะ เราอาจจะไม่ได้อ่อนมากจนถึงไม่รู้คำศัพท์เลย แต่เราก็ไม่สามารถสื่อสารยาวๆได้ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างค่ะ ซึ่งตอนนั้นเราก็ค่อนข้างเครียดนะคะ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยค่ะ เรียกได้ว่าช่วงนั้นที่บ้านเราประสบปัญหาด้านการเงินด้วย ฉะนั้นเรื่องไปเรียนตามโรงเรียนตัดไปเลยค่ะ เราต้องทำงานด้วย (สอนพิเศษ) จนทำให้เราก็เครียดนะคะเรื่องภาษาอังกฤษว่าเราจะทำยังไงดี
จนจุดพลิกผันมันเกิดขึ้นค่ะ คือเราชอบดูกีฬา แล้วเราไปชอบนักกีฬาสนุกเกอร์คนนึง เป็นคนอังกฤษค่ะ (๋Judd Trump) คือเราชอบที่เค้าเก่งค่ะ แล้วก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ตรงนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เราอยากจะเรียนภาษาอังกฤษจริงจัง ทำให้เราเริ่มมีความฝันค่ะ ฝันที่เราอยากจะได้ไปเรียนต่างประเทศ มันเลยทำให้เราตัดสินใจพยายามเรียนและฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง จากการดูหนัง, ดู series, ฟังเพลง, อ่านหนังสือนิยาย, อ่านคอลัมข่าวต่างๆ, ฟังบทสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ แล้วก็ลองหาคลิปสอนภาษาอังกฤษตาม Youtube เช่นคลิปของอาจารย์ อดัมค่ะ คือเราพยายามให้ชีวิตประจำวันลายล้อมด้วยภาษาอังกฤษค่ะ แต่เราต้องบอกว่าเราโชคไม่ดีมากนัก เพราะเราต้องทำงานไปด้วยคือสอนพิเศษ แล้วก็เรียนไปด้วย มันทำให้เรายุ่งมาก จนไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างมีวินัยและต่อเนื่องนัก บางทีเราว่างเราก็อยากจะพักผ่อนอย่างเดียวเพราะค่อนข้างเหนื่อยกับงานมากค่ะ แต่คุณๆคะ เราอยากบอกว่าแค่คุณกล้าที่จะเริ่ม ทุกอย่างมันเปลี่ยนแล้วค่ะ แม้ว่าเราจะไม่สามารถเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีวินัยได้ ทั้งที่เราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนปี1 แต่เราอยากบอกทุกๆคนว่าการเรียนภาษา มันคือการซึมซับ และคือความอดทนค่ะ เราจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเลย จะท้อมากจะรู้สึกว่าเราไม่เห็นดีขึ้นเลย ฝึกมาตั้งนานแล้วนะ บลาๆ แต่ความจริงแล้วมันดีขึ้นค่ะ ดีขึ้นในแบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว!ค่ะจนกระทั่งผ่านไปเกือบ 2 ปี เราขึ้นปี 3 ตอนนั้นช่วงกลางๆปี 3 เทอม 1 ค่ะ เราไปเห็นประกาศสมัครโครงการแลกเปลี่ยนของ Erasmus+ ไปยังประเทศเยอรมนี เป็นทุนฟรี 100% ไม่ต้องใช้คืน วินาทีที่เราเห็นเราตื่นเต้นมากค่ะ รู้สึกว่าเราอยากได้ทุนนี้ อย่างที่บอกว่าเราเริ่มมีผันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วๆคือมันเป็นทุน 100% ด้วย ซึ่งแบบทุนแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆแล้วถ้าเป็นโครงการธรรมดาที่ไม่มีทุนให้ ครอบครัวเราก็คงไม่สามารถ support เราได้ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่โครงการนี้คือฟรีทุกอย่างจริงๆค่ะ เรานั่งอ่านรายละเอียดทุกอย่าง แต่เราก็สะดุดตรงวันปิดรับสมัครค่ะ มันเป็นประกาศที่กะทันหันมากๆ คือมีเวลาแค่ประมาณ 2 สัปดาห์ กับการเตรียมเอกสาร กรอกใบสมัคร เขียน essay เขียนแผนการเรียน เตรียมเอกสารใบรับรองนั่นนี่ ฯลฯ คือโอกาสเป็นไปได้ยากมากค่ะ เพราะที่สำคัญคือเรายังไม่มีคะแนนสอบด้วย พวก IELTS ซึ่ง 2 สัปดาห์คือเวลารอผลของ IELTS เราก็เกือบจะตัดใจแล้ว แต่!!!!!!! เราก็ไม่คาดฝันว่าทาง LMU และโครงการจะเปิดโอกาสให้ยื่นคะแนน TOEIC ได้ด้วย แต่กำหนดคะแนนค่อนข้างสูงคือต้องได้คะแนนเกิน 785 และมีใบรับรองจากอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ อะไรทำนองนั้นค่ะ สำหรับเราการได้ TOEIC เกิน 785 ไม่ง่ายเลยนะคะ แต่มันก็คือความหวังเดียวที่จะยังทำให้เรามีโอกาส เพราะโทอิครอผลแค่ 1 วันทำการเท่านั้น มันก็ดูเหมือนจะมีความหวัง แต่มันก็ริบหรี่มากค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราโง่แกรมม่า ไม่เคยฝึกแกรมม่า เราทำแค่อย่างที่บอกไปค่ะ พวกดูหนัง, อ่านหนังสือ, ฟังเพลง แล้วคือเราก็แทบไม่มีเวลาเตรียมตัวใดๆเลยค่ะ เราทำได้แค่ลองโหลดข้อสอบมาทำล่วงหน้าก่อนไปสอบ 1 วัน แต่สุดท้ายเราก็ทำได้ค่ะ เราได้คะแนนผ่านมาแบบเฉียดฉิวมากก (เราได้ 815 คะแนนค่ะ) เพราะฉะนั้น เราก็เลยรู้ว่าการฝึกฝน การเรียนภาษามันต้องอดทนค่ะ มันจะได้มาโดยที่เราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเราดีขึ้น อย่างแกรมม่าเราจะบอกว่ามันได้เองจากตอนดูหนัง อ่านนั่นนี่ค่ะ คือได้เองแบบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่ก็ต้องเชื่อค่ะ ส่วนเรื่องเงื่อนไขอื่นๆที่ทุนต้องการ พวกเกรดเราก็ได้เกิน ทุกอย่างก็เลยผ่านไปด้วยดีค่ะ สุดท้ายเราก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 4 คนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เราบอกไม่ถูกว่าดีใจมากแค่ไหนนะคะ แต่ในที่สุด My dream has come true ค่ะ แล้วขณะนี้เราก็อยู่ที่ Munich ค่ะจนถึงปีหน้า เราก็คิดว่าเราจะพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เราเลยคิดว่าเราอยากจะแชร์เรื่องราวของเราให้เพื่อนๆทุกคนที่กำลังท้อนะคะ เราไม่ใช่คนเก่งภาษาอังกฤษมาก่อน โง่มากด้วยค่ะ มี Bad perspective ด้วยซ้ำ แต่เรามีความหวัง และมีแรงบันดาลใจค่ะ เราก็อยากให้เพื่อนๆทุกคนอย่ายอมแพ้นะคะ !!!!!!!!!
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ จริงๆแล้วการฝึกภาษามันไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ ขอแค่เราคิดที่จะเริ่ม ลงมือทำ และอดทนค่ะ สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้มีโอกาส หรือไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะไปเรียนตามโรงเรียนสอน ก็ไม่ต้องน้อยใจไปค่ะ ดูเราเป็นตัวอย่างไว้นะคะ เดี๋ยวนี้ขอแค่ความพยายามของคุณ คุณก็ทำได้ค่ะ โลกมันเปิดกว้างมากๆนะคะ มีเว็บไซด์มากมายและสื่อการสอนฟรีมากมายค่ะ สำหรับตัวเราเองตอนนี้ เราเองก็ยังต้องฝึกอีกมากค่ะ คำว่าเก่งภาษาอังกฤษ ไม่เคยอยู่ในหัวของเรา เรายังแทบไม่เชื่อตัวเองว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ แต่เราพบจริงจังว่าเราดีขึ้น จากที่เราอยู่ที่นี่ เรามีเพื่อนต่างชาติ และเราสามารถสื่อสารกับเค้าอย่างเข้าใจได้ค่ะ ณ จุดนี้เราก็ภูมิใจในตัวเองที่วันนี้เรามาไกลได้ขนาดนี้ เรายังแอบเสียใจนิดๆเลยนะคะว่า ถ้าในอดีตเรารักภาษาอังกฤษ ตั้งใจเรียนและพยายามมากกว่านี้ เราก็คงไม่ต้องเหนื่อยมากเท่านี้ แต่เราก็จะไม่ท้อค่ะ เราจะพัฒนาทักษะของเราต่อไปให้พัฒนาขึ้นต่อไปเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ (ฝากไว้สำหรับน้องๆนะคะ)
สุดท้ายเราก็อยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่กำลังท้อแท้กับการเรียนภาษาอังกฤษ หรือกำลังหมดกำลังใจ ว่าสู้ๆนะคะ เราอยากบอกว่าทุกคนทำได้จริงๆค่ะ การลองหาแรงบันดาลใจก็เป็นวิธีที่ดีนะคะ อาจจะช่วยให้มีพลังมากขึ้น แล้วก็อยากให้เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ค่ะ ขอแค่อดทนและพยายามฝึกฝนอย่างต่อเนื่องนะคะ มันจะช่วยทำให้ได้ประสิทธิภาพและประหยัดเวลามากขึ้นค่ะ แล้วก็เราอยากจะแบ่งปันวิธีฝึกที่เราเคยฝึกภาษาอังกฤษไว้นะ
1. เริ่มต้นจากการดูหนังเลยค่ะ ไม่ว่าคุณจะอ่อนมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไรนะคะ พอมี Basic บ้างก็พอค่ะ หลายคนจะคิดว่าการเรียนผ่านการดูหนังต้องรู้นั่นนี่ เข้าใจแกรมม่ารู้ศัพท์เยอะ เราจะบอกว่ามันไม่จำเป็นเลยนะคะ แต่การเรียนโดยการดูหนังต้องอดทนนิดนึงค่ะ เพราะเรื่องเดียวต้องดูหลายรอบ เพราะฉะนั้นเราแนะนำว่า ถ้าเพิ่งเริ่ม อยากให้เลือกหนังที่ไม่ค่อยยากมาก เช่นหนังครอบครัว หรือการ์ตูนก็ได้ค่ะ เช่น Frozen, Inside out อะไรแบบนี้ค่ะ หนังแบบ Marvel อะไรแบบนี้เอาแค่บันเทิงก่อนนะคะ มันจะยากไปสำหรับการเริ่มต้นค่ะ เพราะหนังครอบครัวหรือหนังการ์ตูน จะพูดไม่เร็วมากแล้วก็ใช้ศัพท์ที่เราคุ้นชินบ้างค่ะ วิธีก็คือรอบแรกให้ตั้งใจดูแบบซับไทยค่ะ แต่ไม่อยากให้โฟกัสอ่านอย่างเดียวนะคะ อยากให้ตั้งใจฟังไปด้วยจะได้ฟังเวลาเค้าออกเสียงนะคะ พอดูจนเข้าใจเนื้อเรื่อง ก็ให้ดูอีกรอบเป็นแบบซับอังกฤษนะคะ สำหรับคนที่อ่านไม่ทัน แนะนำให้โหลดเฉพาะตัวซับอังกฤษมาแกะคำ แกะประโยค เจาะแกรมม่าเลยค่ะ อะไรไม่รู้ไม่ได้ จดไว้เลยค่ะ แล้วก็ค่อยไปดูหนังแบบซับอังกฤษก็ได้ค่ะ ช่วงนี้บางคนอาจจะต้องดู 1-2 รอบหรือมากกว่านั้นแล้วแต่การเรียนรู้และความอดทนนะคะ แล้วค่อยขยับไปแบบ without sub title นะคะ มันช่วยได้มากจริงๆนะคะ
2. หาหนังสือ หรือว่าหาบทความในเรื่องที่เราชอบ หรือเกี่ยวกับคนที่เราชอบอ่านบ่อยๆค่ะ ไม่รู้ก็เปิดหาศัพท์ แล้วก็หาสมุดสักเล่มจดไว้นะคะ พยายามอ่านเรื่อยๆ ช่วยได้เหมือนกันค่ะ จะช่วยลดความกลัวภาษาอังกฤษลงนะคะ
3. การฝึกพูดตามค่ะ ถ้าพอคล่องแล้วให้ฝึกพูดคนเดียวค่ะ แบบเหมือนพูดกับตัวเอง เรื่องชีวิตประจำวัน หรือวันนี้เจออะไรมาก็เล่าให้ตัวเองฟังเป็นภาษาอังกฤษค่ะ อย่าอายนะคะ ไม่ได้ก็มาเปิดดิก มาเช็คจากอินเตอร์เน็ต ทำเรื่อยๆ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 20นาที 1 ชั่วโมงแล้วแต่เลยค่ะ มันช่วยได้มากๆนะคะ ช่วยให้เรากล้าออกเสียง กล้าพูดมากขึ้นค่ะ หรือจะฝึกพูดตามหนังก็ได้ค่ะ เราทำบ่อย เอาซับอิ้งที่โหลดมา นั่งพูดตาม พยายามก็อปปี้สำเนียง หรือเสียงต่างๆให้ใกล้เคียงเค้าให้มากที่สุดค่ะ
4. เรื่องคำศัพท์ถ้าใครอยากเพิ่มพูนเร็วๆ อาจจะต้องหาซื้อหนังสือของพวก Cambridge มันจะมีแบบรวบรวมศัพท์ที่จำเป็นต้องรู้ หรือพวก Phrasal verb ที่เค้านิยมใช้ในภาษาพูดกันอะไรพวกนี้มาดูๆ แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่มีงบจริงๆ ก็ลุยจากหนัง จากการ์ตูน จาก series ดูเรื่อยๆก็เริ่มชินและครอบคลุมเหมือนกันค่ะ แต่อาศัยเวลาสักนิดนะคะ
ท้ายที่สุดก็ หมวยได้ตั้งปณิธานเอาไว้หลังจากได้รับทุนการศึกษานี้ว่า จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆหมวยเลยตัดสินใจจะเปิดเพจสอนภาษาอังกฤษฟรี ใครที่สนใจก็เข้าไปกดไลค์ได้ที่ เพจ English by yourself ทาง facebook นะคะในอนาคตหมวยก็จะมีทำคลิปสอนภาษาอังกฤษให้ทุกๆคนที่สนใจได้ดูแล้วก็ฝึนฝนกันค่ะ ขอบคุณค่า
จากคนเคยได้ภาษาอังกฤษ เกรด 2 ตอนมอปลาย แต่ตอนนี้เพราะภาษาอังกฤษทำให้ได้ทุน Erasmus ไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมนี
เราอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ (IR) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปัจจุบัน กำลังศึกษาอยู่ที่ Ludwig Maximilians Universität (LMU) ที่ Munich ประเทศเยอรมนีค่ะ
โดยเราได้รับทุนการศึกษาจากโครงการ Erasmus+ มาแลกเปลี่ยนที่ LMU เป็นเวลา 1 ปีค่ะ ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมาอยู่ที่ประเทศเยอรมนี แต่ว่าหลักสูตรที่เรามาแลกเปลี่ยนเป็นหลักสูตร ภาษาอังกฤษค่ะ ก็คือเรียนเป็นภาษาอังกฤษ และใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพราะจะได้รู้จักเพื่อนๆต่างชาติที่มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกัน โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ค่ะ แต่ทั้งนี้เราก็กำลังพยายามเรียนและฝึกฝนภาษาเยอรมันไปด้วยเช่นกันค่ะ
ขอเท้าความก่อนนะคะ จริงๆแล้วสมัยมอปลาย เรียนสายวิทย์ฯมาค่ะ แล้วก็เป็นคนที่เรียนวิชาคำนวณได้ดี ทั้งคณิตและฟิสิกส์ค่ะ คือจริงๆตอนนั้นค่อนข้างเกลียดภาษาอังกฤษมาก รู้สึกว่าไม่ชอบเลย มันจำๆๆๆอย่างเดียว เรียนอะไรเยอะแยะแกรมมงแกรมม่า ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ออก แปลไม่ได้ค่ะ คือไม่เคยได้ภาษาอังกฤษเกรด 4 เลยนะคะ ได้แบบ 2, 2.5 เกรด 3 นี่คือหรูแล้วค่ะ อย่างคะแนนภาษาอังกฤษ ONET ตอนม.6 รู้สึกจะได้ประมาณ 40 กว่าๆเองค่ะ แต่ !!!!!!! เหมือนเกลียดอย่างไหนจะได้อย่างนั้นเลยค่ะ โชคชะตานำพาให้ได้มาเรียน รัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ธรรมศาสตร์ (ขออนุญาตไม่เล่าเหตุผลถึงการเปลี่ยนสายจากวิทย์มาศิลป์นะคะ เกรงจะยาวเกินไปและหลุดประเด็นค่ะ) เราติด IR เพราะ เราได้คะแนน PAT1 (คณิตศาสตร์) เยอะค่ะ
คือมันจะอึดอัดมากค่ะ เวลาที่บอกว่า เราเรียน IR ทุกคนจะคาดหวังเลยว่า เราต้องเก่งอังกฤษ นั่นคือคนส่วนใหญ่ในคณะที่ไม่ใช่เราค่ะ 5555555 เราโง่ภาษาอังกฤษมากๆ ตอนมอ6 เราเพิ่งเข้าใจว่าอะไรคือ adj ค่ะจริงๆ แน่นอนว่าทันทีที่เรามาอยู่ที่คณะนี้ เราพบว่าเพื่อนๆในคณะเราเก่งอังกฤษกันค่ะ ไปแลกเปลี่ยนกันมาเยอะมาก AFS เอยอะไรเอย จนเรารู้สึกแบบ (แย่แล้วกุ) คือแย่จริงๆนะคะ เราอาจจะไม่ได้อ่อนมากจนถึงไม่รู้คำศัพท์เลย แต่เราก็ไม่สามารถสื่อสารยาวๆได้ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างค่ะ ซึ่งตอนนั้นเราก็ค่อนข้างเครียดนะคะ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยค่ะ เรียกได้ว่าช่วงนั้นที่บ้านเราประสบปัญหาด้านการเงินด้วย ฉะนั้นเรื่องไปเรียนตามโรงเรียนตัดไปเลยค่ะ เราต้องทำงานด้วย (สอนพิเศษ) จนทำให้เราก็เครียดนะคะเรื่องภาษาอังกฤษว่าเราจะทำยังไงดี
จนจุดพลิกผันมันเกิดขึ้นค่ะ คือเราชอบดูกีฬา แล้วเราไปชอบนักกีฬาสนุกเกอร์คนนึง เป็นคนอังกฤษค่ะ (๋Judd Trump) คือเราชอบที่เค้าเก่งค่ะ แล้วก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ตรงนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เราอยากจะเรียนภาษาอังกฤษจริงจัง ทำให้เราเริ่มมีความฝันค่ะ ฝันที่เราอยากจะได้ไปเรียนต่างประเทศ มันเลยทำให้เราตัดสินใจพยายามเรียนและฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง จากการดูหนัง, ดู series, ฟังเพลง, อ่านหนังสือนิยาย, อ่านคอลัมข่าวต่างๆ, ฟังบทสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ แล้วก็ลองหาคลิปสอนภาษาอังกฤษตาม Youtube เช่นคลิปของอาจารย์ อดัมค่ะ คือเราพยายามให้ชีวิตประจำวันลายล้อมด้วยภาษาอังกฤษค่ะ แต่เราต้องบอกว่าเราโชคไม่ดีมากนัก เพราะเราต้องทำงานไปด้วยคือสอนพิเศษ แล้วก็เรียนไปด้วย มันทำให้เรายุ่งมาก จนไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างมีวินัยและต่อเนื่องนัก บางทีเราว่างเราก็อยากจะพักผ่อนอย่างเดียวเพราะค่อนข้างเหนื่อยกับงานมากค่ะ แต่คุณๆคะ เราอยากบอกว่าแค่คุณกล้าที่จะเริ่ม ทุกอย่างมันเปลี่ยนแล้วค่ะ แม้ว่าเราจะไม่สามารถเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีวินัยได้ ทั้งที่เราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนปี1 แต่เราอยากบอกทุกๆคนว่าการเรียนภาษา มันคือการซึมซับ และคือความอดทนค่ะ เราจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเลย จะท้อมากจะรู้สึกว่าเราไม่เห็นดีขึ้นเลย ฝึกมาตั้งนานแล้วนะ บลาๆ แต่ความจริงแล้วมันดีขึ้นค่ะ ดีขึ้นในแบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว!ค่ะจนกระทั่งผ่านไปเกือบ 2 ปี เราขึ้นปี 3 ตอนนั้นช่วงกลางๆปี 3 เทอม 1 ค่ะ เราไปเห็นประกาศสมัครโครงการแลกเปลี่ยนของ Erasmus+ ไปยังประเทศเยอรมนี เป็นทุนฟรี 100% ไม่ต้องใช้คืน วินาทีที่เราเห็นเราตื่นเต้นมากค่ะ รู้สึกว่าเราอยากได้ทุนนี้ อย่างที่บอกว่าเราเริ่มมีผันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วๆคือมันเป็นทุน 100% ด้วย ซึ่งแบบทุนแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆแล้วถ้าเป็นโครงการธรรมดาที่ไม่มีทุนให้ ครอบครัวเราก็คงไม่สามารถ support เราได้ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่โครงการนี้คือฟรีทุกอย่างจริงๆค่ะ เรานั่งอ่านรายละเอียดทุกอย่าง แต่เราก็สะดุดตรงวันปิดรับสมัครค่ะ มันเป็นประกาศที่กะทันหันมากๆ คือมีเวลาแค่ประมาณ 2 สัปดาห์ กับการเตรียมเอกสาร กรอกใบสมัคร เขียน essay เขียนแผนการเรียน เตรียมเอกสารใบรับรองนั่นนี่ ฯลฯ คือโอกาสเป็นไปได้ยากมากค่ะ เพราะที่สำคัญคือเรายังไม่มีคะแนนสอบด้วย พวก IELTS ซึ่ง 2 สัปดาห์คือเวลารอผลของ IELTS เราก็เกือบจะตัดใจแล้ว แต่!!!!!!! เราก็ไม่คาดฝันว่าทาง LMU และโครงการจะเปิดโอกาสให้ยื่นคะแนน TOEIC ได้ด้วย แต่กำหนดคะแนนค่อนข้างสูงคือต้องได้คะแนนเกิน 785 และมีใบรับรองจากอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ อะไรทำนองนั้นค่ะ สำหรับเราการได้ TOEIC เกิน 785 ไม่ง่ายเลยนะคะ แต่มันก็คือความหวังเดียวที่จะยังทำให้เรามีโอกาส เพราะโทอิครอผลแค่ 1 วันทำการเท่านั้น มันก็ดูเหมือนจะมีความหวัง แต่มันก็ริบหรี่มากค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราโง่แกรมม่า ไม่เคยฝึกแกรมม่า เราทำแค่อย่างที่บอกไปค่ะ พวกดูหนัง, อ่านหนังสือ, ฟังเพลง แล้วคือเราก็แทบไม่มีเวลาเตรียมตัวใดๆเลยค่ะ เราทำได้แค่ลองโหลดข้อสอบมาทำล่วงหน้าก่อนไปสอบ 1 วัน แต่สุดท้ายเราก็ทำได้ค่ะ เราได้คะแนนผ่านมาแบบเฉียดฉิวมากก (เราได้ 815 คะแนนค่ะ) เพราะฉะนั้น เราก็เลยรู้ว่าการฝึกฝน การเรียนภาษามันต้องอดทนค่ะ มันจะได้มาโดยที่เราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเราดีขึ้น อย่างแกรมม่าเราจะบอกว่ามันได้เองจากตอนดูหนัง อ่านนั่นนี่ค่ะ คือได้เองแบบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่ก็ต้องเชื่อค่ะ ส่วนเรื่องเงื่อนไขอื่นๆที่ทุนต้องการ พวกเกรดเราก็ได้เกิน ทุกอย่างก็เลยผ่านไปด้วยดีค่ะ สุดท้ายเราก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 4 คนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เราบอกไม่ถูกว่าดีใจมากแค่ไหนนะคะ แต่ในที่สุด My dream has come true ค่ะ แล้วขณะนี้เราก็อยู่ที่ Munich ค่ะจนถึงปีหน้า เราก็คิดว่าเราจะพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เราเลยคิดว่าเราอยากจะแชร์เรื่องราวของเราให้เพื่อนๆทุกคนที่กำลังท้อนะคะ เราไม่ใช่คนเก่งภาษาอังกฤษมาก่อน โง่มากด้วยค่ะ มี Bad perspective ด้วยซ้ำ แต่เรามีความหวัง และมีแรงบันดาลใจค่ะ เราก็อยากให้เพื่อนๆทุกคนอย่ายอมแพ้นะคะ !!!!!!!!!
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ จริงๆแล้วการฝึกภาษามันไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ ขอแค่เราคิดที่จะเริ่ม ลงมือทำ และอดทนค่ะ สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้มีโอกาส หรือไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะไปเรียนตามโรงเรียนสอน ก็ไม่ต้องน้อยใจไปค่ะ ดูเราเป็นตัวอย่างไว้นะคะ เดี๋ยวนี้ขอแค่ความพยายามของคุณ คุณก็ทำได้ค่ะ โลกมันเปิดกว้างมากๆนะคะ มีเว็บไซด์มากมายและสื่อการสอนฟรีมากมายค่ะ สำหรับตัวเราเองตอนนี้ เราเองก็ยังต้องฝึกอีกมากค่ะ คำว่าเก่งภาษาอังกฤษ ไม่เคยอยู่ในหัวของเรา เรายังแทบไม่เชื่อตัวเองว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ แต่เราพบจริงจังว่าเราดีขึ้น จากที่เราอยู่ที่นี่ เรามีเพื่อนต่างชาติ และเราสามารถสื่อสารกับเค้าอย่างเข้าใจได้ค่ะ ณ จุดนี้เราก็ภูมิใจในตัวเองที่วันนี้เรามาไกลได้ขนาดนี้ เรายังแอบเสียใจนิดๆเลยนะคะว่า ถ้าในอดีตเรารักภาษาอังกฤษ ตั้งใจเรียนและพยายามมากกว่านี้ เราก็คงไม่ต้องเหนื่อยมากเท่านี้ แต่เราก็จะไม่ท้อค่ะ เราจะพัฒนาทักษะของเราต่อไปให้พัฒนาขึ้นต่อไปเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ (ฝากไว้สำหรับน้องๆนะคะ)
สุดท้ายเราก็อยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่กำลังท้อแท้กับการเรียนภาษาอังกฤษ หรือกำลังหมดกำลังใจ ว่าสู้ๆนะคะ เราอยากบอกว่าทุกคนทำได้จริงๆค่ะ การลองหาแรงบันดาลใจก็เป็นวิธีที่ดีนะคะ อาจจะช่วยให้มีพลังมากขึ้น แล้วก็อยากให้เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ค่ะ ขอแค่อดทนและพยายามฝึกฝนอย่างต่อเนื่องนะคะ มันจะช่วยทำให้ได้ประสิทธิภาพและประหยัดเวลามากขึ้นค่ะ แล้วก็เราอยากจะแบ่งปันวิธีฝึกที่เราเคยฝึกภาษาอังกฤษไว้นะ
1. เริ่มต้นจากการดูหนังเลยค่ะ ไม่ว่าคุณจะอ่อนมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไรนะคะ พอมี Basic บ้างก็พอค่ะ หลายคนจะคิดว่าการเรียนผ่านการดูหนังต้องรู้นั่นนี่ เข้าใจแกรมม่ารู้ศัพท์เยอะ เราจะบอกว่ามันไม่จำเป็นเลยนะคะ แต่การเรียนโดยการดูหนังต้องอดทนนิดนึงค่ะ เพราะเรื่องเดียวต้องดูหลายรอบ เพราะฉะนั้นเราแนะนำว่า ถ้าเพิ่งเริ่ม อยากให้เลือกหนังที่ไม่ค่อยยากมาก เช่นหนังครอบครัว หรือการ์ตูนก็ได้ค่ะ เช่น Frozen, Inside out อะไรแบบนี้ค่ะ หนังแบบ Marvel อะไรแบบนี้เอาแค่บันเทิงก่อนนะคะ มันจะยากไปสำหรับการเริ่มต้นค่ะ เพราะหนังครอบครัวหรือหนังการ์ตูน จะพูดไม่เร็วมากแล้วก็ใช้ศัพท์ที่เราคุ้นชินบ้างค่ะ วิธีก็คือรอบแรกให้ตั้งใจดูแบบซับไทยค่ะ แต่ไม่อยากให้โฟกัสอ่านอย่างเดียวนะคะ อยากให้ตั้งใจฟังไปด้วยจะได้ฟังเวลาเค้าออกเสียงนะคะ พอดูจนเข้าใจเนื้อเรื่อง ก็ให้ดูอีกรอบเป็นแบบซับอังกฤษนะคะ สำหรับคนที่อ่านไม่ทัน แนะนำให้โหลดเฉพาะตัวซับอังกฤษมาแกะคำ แกะประโยค เจาะแกรมม่าเลยค่ะ อะไรไม่รู้ไม่ได้ จดไว้เลยค่ะ แล้วก็ค่อยไปดูหนังแบบซับอังกฤษก็ได้ค่ะ ช่วงนี้บางคนอาจจะต้องดู 1-2 รอบหรือมากกว่านั้นแล้วแต่การเรียนรู้และความอดทนนะคะ แล้วค่อยขยับไปแบบ without sub title นะคะ มันช่วยได้มากจริงๆนะคะ
2. หาหนังสือ หรือว่าหาบทความในเรื่องที่เราชอบ หรือเกี่ยวกับคนที่เราชอบอ่านบ่อยๆค่ะ ไม่รู้ก็เปิดหาศัพท์ แล้วก็หาสมุดสักเล่มจดไว้นะคะ พยายามอ่านเรื่อยๆ ช่วยได้เหมือนกันค่ะ จะช่วยลดความกลัวภาษาอังกฤษลงนะคะ
3. การฝึกพูดตามค่ะ ถ้าพอคล่องแล้วให้ฝึกพูดคนเดียวค่ะ แบบเหมือนพูดกับตัวเอง เรื่องชีวิตประจำวัน หรือวันนี้เจออะไรมาก็เล่าให้ตัวเองฟังเป็นภาษาอังกฤษค่ะ อย่าอายนะคะ ไม่ได้ก็มาเปิดดิก มาเช็คจากอินเตอร์เน็ต ทำเรื่อยๆ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 20นาที 1 ชั่วโมงแล้วแต่เลยค่ะ มันช่วยได้มากๆนะคะ ช่วยให้เรากล้าออกเสียง กล้าพูดมากขึ้นค่ะ หรือจะฝึกพูดตามหนังก็ได้ค่ะ เราทำบ่อย เอาซับอิ้งที่โหลดมา นั่งพูดตาม พยายามก็อปปี้สำเนียง หรือเสียงต่างๆให้ใกล้เคียงเค้าให้มากที่สุดค่ะ
4. เรื่องคำศัพท์ถ้าใครอยากเพิ่มพูนเร็วๆ อาจจะต้องหาซื้อหนังสือของพวก Cambridge มันจะมีแบบรวบรวมศัพท์ที่จำเป็นต้องรู้ หรือพวก Phrasal verb ที่เค้านิยมใช้ในภาษาพูดกันอะไรพวกนี้มาดูๆ แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่มีงบจริงๆ ก็ลุยจากหนัง จากการ์ตูน จาก series ดูเรื่อยๆก็เริ่มชินและครอบคลุมเหมือนกันค่ะ แต่อาศัยเวลาสักนิดนะคะ
ท้ายที่สุดก็ หมวยได้ตั้งปณิธานเอาไว้หลังจากได้รับทุนการศึกษานี้ว่า จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆหมวยเลยตัดสินใจจะเปิดเพจสอนภาษาอังกฤษฟรี ใครที่สนใจก็เข้าไปกดไลค์ได้ที่ เพจ English by yourself ทาง facebook นะคะในอนาคตหมวยก็จะมีทำคลิปสอนภาษาอังกฤษให้ทุกๆคนที่สนใจได้ดูแล้วก็ฝึนฝนกันค่ะ ขอบคุณค่า